23 พ.ค. 2565 อ่าน [1]
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วยนางอานา เซซิเลีย เฮร์บาซิ ดิอัซ รมช.ด้านการค้าต่างประเทศ สาธารณรัฐเปรู นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 4ภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีการค้าสินค้าและอํานวยความสะดวกทางการค้า
สำหรับพิธีลงนาม “พิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีการค้าสินค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า” ในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของประเทศไทยและประเทศเปรู ที่ได้ร่วมกันดำเนินการเจรจาปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างไทย-เปรู มาตั้งแต่ปี 2563 จนกระทั่งได้ข้อสรุปร่วมกันและพร้อมลงนามความสำเร็จ
นายจุรินทร์กล่าวว่า ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศเปรูในปี 2564 มีมูลค่าเกือบ 15,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 24.06% จากปี 2563 ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของการมีความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างกันนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า พิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 4 เพื่อเร่งเปิดเสรีการค้าสินค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า มีสาระสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ การปรับปรุงและเพิ่มเติมข้อบทกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการค้าในปัจจุบันและในอนาคต เช่น อนุญาตให้ใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ใช้การลงนามและประทับตราด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ และเพิ่มเติมข้อบทให้รองรับการจัดทำหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต เพื่อให้ข้อบทด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-เปรู มีมาตรฐานสูงเท่าเทียมกับความตกลง FTA ฉบับอื่นๆ
นอกจากนี้ยังได้ปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า จากระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี 2550 เป็นระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี 2560 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติขององค์การศุลกากรโลก ที่มีการปรับโอนพิกัดศุลกากรเป็นประจำทุก 5 ปีซึ่งจะทำให้ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-เปรู มีความทันสมัยและช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ จะช่วยส่งเสริมบรรยากาศทางการค้าและการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศต่อไป